ost.friendship เพราะๆ ซึ้งๆ TTwTT
วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
ความสุข ความทุกข์ ราคาเสมอกัน
วันหนึ่งผู้เขียนได้รับหนังสือแจกในงานศพของใครคนหนึ่ง ซึ่งมีผู้มาบริจาคไว้ที่ห้องสมุดที่วัด พลิกดูผ่านๆ พลันก็ได้พบกับคำคมของหลวงพ่อชา สุภัทโท พระวิปัสสนาจารย์ผู้มีชื่อเสียงขจรไกลไปทั่วโลก และเพราะคำคมของท่าน ทำให้ต้องกลับมาพลิกอ่านหนังสือเล่มนั้นต่อไปจนจบ
หลวงพ่อชา กล่าวว่า
“ทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด”
คำของหลวงพ่อ ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน แต่อุดมด้วยเนื้อหาแห่งสัจธรรมที่ไม่อาจปฏิเสธ ด้วยประโยคง่ายๆ นี้เอง ทำให้นึกถึงพระพักตร์ของพระพุทธองค์ที่มักจะทรงแย้มสรวลด้วยความผ่อนคลายและเปี่ยมด้วยเมตตาอยู่เสมอ ยามที่มีสัตว์โลกผู้ถูกความทุกข์ท่วมทับจนทุกข์หนักหนาสาหัสแทบล้มประดาตายเข้าไปกราบขอให้พระองค์ทรงเป็นที่พึ่ง แต่ทุกครั้งที่มีสัตว์ผู้ตกทุกข์ได้ยากเข้าไปเฝ้าขอพึ่งพระบารมี ไม่มีเลยแม้แต่ครั้งเดียวที่พระองค์จะทรงตกพระทัย หรือทรงเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่จนทรงสูญเสียปกติภาพ ตรงกันข้าม พระองค์กลับทรงปฏิสัมพันธ์ต่อความสุข ความทุกข์ ของมนุษยชาติด้วยราคาเดียวกันอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
ที่เป็นเช่นนี้ นั่นคงเป็นเพราะทรงตระหนักเป็นอย่างดีว่า
“ทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด”
คราวหนึ่งมีสตรีชาวบ้านคนหนึ่งถูกความทุกข์อันเนื่องมาจากการสูญเสียลูกชายครอบงำจนวิกลจริต เธอไม่อนุญาตให้มีการฌาปนกิจศพลูก เพราะเชื่อมั่นว่า ลูกยังไม่ตาย หรือถึงตายไปแล้ว แต่ก็ต้องมียาวิเศษที่จะชุบชีวิตลูกให้ฟื้นขึ้นมาจนได้
วันหนึ่ง เธออุ้มศพลูกน้อยที่เริ่มส่งกลิ่นเน่าเหม็นซมซานไปจนถึงพุทธสำนัก เมื่ออยู่ต่อพระพักตร์พระพุทธองค์แล้ว เธอจึงได้สติ พลางกราบทูลถามว่า พระองค์สามารถจะเยียวยาลูกชายของเธอให้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาดังเดิมได้หรือไม่
ทรงทอดพระเนตรดูเธอผู้กรมเกรียมเพราะถูกไฟแห่งความพลัดพรากแผดเผามายาวนาน พลางแย้มพระสรวลด้วยเมตตา ตรัสแก่เธอว่า
“น้องหญิง เราสามารถชุบชีวิตลูกชายของเธอได้ แต่ว่า เธอต้องไปหาเมล็ดผักกาดจากเรือนที่ยังไม่เคยมีคนตายมาก่อนมาให้เราสักหนึ่งกำมือเถิด ถ้าได้เมล็ดผักกาดจากเรือนที่ยังไม่เคยมีคนตายมาแล้ว เราตถาคต จะปรุงยาชุบชีวิตลูกชายของเธอด้วยเมล็ดผักกาดนั้น”
หญิงสาวดีใจจนน้ำตาไหล เธอออกเดินทางจากพระอาราม มุ่งหน้าเข้าสู่หมู่บ้าน เพื่อขอเมล็ดผักกาดจากบ้านที่ยังไม่เคยมีคนตาย แต่จนแล้วจนรอด เธอกลับได้รับแต่คำตอบปฏิเสธ จากทุกหลังคาเรือนที่เธอเอ่ยปากถาม
เมล็ดผักกาดนั้น จะหาจากเรือนหลังไหนก็ได้ แต่พอเธอเสงอเงื่อนไขที่สองที่ว่า “จากบ้านที่ยังไม่เคยมีคนตาย” เมล็ดผักกาดก็กลายเป็นของหายากขึ้นมาทันที
คุณแม่ยังสาวผู้สูญเสียลูกชาย อุ้มศพลูกน้อยเดินขึ้นเดินลงจากเรือนหลังนั้นสู่หลังนี้ แต่ทุกหลังคาเรือนที่เธอไปเยือน ล้วนแต่มีคำตอบปฏิเสธ เรือนหลังไหนๆ บ้านหลังไหนๆ ก็ล้วนแล้วแต่เคยมีคนตายมาก่อนแล้วทั้งนั้น
ในที่สุด ทุกๆ คำตอบปฏิเสธ ก็ได้สอนบทเรียนบทหนึ่งให้แก่เธอว่า
“ความตายเป็นของธรรมดา ใช่แต่เพียงลูกชายของเราเท่านั้น ที่ต้องตาย แท้ที่จริง คนในโลก ล้วนแต่จะต้องตายเหมือนกันทั้งหมด โดยไม่มีข้อยกเว้น”
พลันที่จิตตื่นรู้อันเป็นผลจากประสบการณ์ตรงที่เกิดแต่การเที่ยวหาเมล็ดผักกาดจากบ้านที่ยังไม่เคยมีคนตาย เมฆหมอกแห่งความทุกข์ก็คลี่คลายหายห่างออกไปจากชีวิตของเธอ หญิงสาวยินยอมให้มีการเผาศพลูกชายโดยดุษฎี จากนี้จึงตรงไปเฝ้าพระพุทธองค์ กราบทูลรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ตรงให้ทรงทราบ
สิ้นเสียงกราบทูลรายงานความคืบหน้าในทางธรรมของเธอแล้ว พระบรมครูทรงแย้มพระสรวลน้อยๆ พระพักตร์เจือด้วยพระเมตตาเต็มเปี่ยม นาทีนั้น หญิงสาวเข้าใจทันทีว่า สำหรับพระองค์แล้ว ความทุกข์ ความสุข มีราคาเดียวกันจริงๆ
นับแต่นั้นเป็นต้นมา อดีตคุณแม่ผู้ถูกความพลัดพรากจู่โจมจนวิกลจริต จึงหันหน้าเข้าเส้นทางธรรม อุทิศตนบวชเป็นภิกษุณีในพระธรรมวินัย และกลายเป็นพระอรหันต์ภายในเวลาไม่นานนัก
คำของหลวงพ่อชาที่ว่า
“ทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด”
เป็นถ้อยคำสำคัญมาก คำๆ นี้ เปลี่ยนชีวิตคนมาแล้วมากต่อมาก มิน่าเล่า เมื่อแรกที่พระพุทธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนา จึงทรงเริ่มมรรคมีองค์ ๘ ด้วย “สัมมาทิฐิ”
“สัมมาทิฐิ” คือ การเห็นชอบ การเห็นถูก การเห็นตรง (ตามความเป็นจริง)
การเห็นชอบ = การเห็นถูก การเห็นถูก = การเห็นตรง การเห็นตรง = การเห็นไม่ผิด ที่ว่าเห็นไม่ผิด คือ เห็นสอดคล้องกับความจริงที่เป็นจริงของมันอย่างนั้นเอง
“ทุกชีวิตเกิดมาล้วนต้องตาย”
นี่เป็นความจริงอันเป็นสัจธรรมของโลก
หากคนส่วนใหญ่เห็นความตายตามความเป็นจริงอย่างตรงไปตรงมา ความทุกข์เพราะความตาย คงไม่ใช่ความทุกข์อันยิ่งใหญ่ หรือบางที อาจไม่เป็นความทุกข์เลยด้วยซ้ำ ปราชญ์ทางพุทธธรรมท่านหนึ่งกล่าวว่า
“มีแต่ความตาย ไม่มีผู้ตาย”
นี่เป็นความจริงที่ลึกซึ้งกว่าข้อความข้างต้นอีกชั้นหนึ่ง หากเราทุกคนมองเห็นความจริงตามความเป็นจริงเช่นนี้ได้ ความตายคงไม่ใช่เรื่องน่ากลัวแม้แต่น้อย แต่ก็นั่นแหละ การเห็นตามความเป็นจริง ไม่ใช่เรื่องง่าย และเพราะไม่ใช่เรื่องง่ายนั่นเอง ความตายจึงยังคงเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนทั่วไปอยู่จนทุกวันนี้
ทว่าสำหรับผู้ฝึกตนจนมีสัมมาปัญญาแล้ว ท่านเหล่านั้นล้วนปฏิสัมพันธ์ต่อความสุข ความทุกข์ด้วยราคาเดียวกัน
สุขก็ธรรมดา
ทุกข์ก็ธรรมดา
มีแต่ธรรมดาเท่านั้นเกิดขึ้น
มีแต่ธรรมดาเท่านั้นดำรงอยู่
มีแต่ธรรมดาเท่านั้นแตกดับไป
นอกจากธรรมดาแล้ว ไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรดับ
ใครเห็นธรรมดา คนนั้น เห็นธรรม ใครเห็นธรรม คนนั้นเห็นธรรมดา
ใจที่เห็นธรรมดา เป็นใจที่ไม่หวั่นไหวเพราะสุขและทุกข์อีกต่อไป เนื่องเพราะ สุขและทุกข์ ไม่ใช่สองด้านของเหรียญอันเดียวกัน แต่เป็นด้านเดียวกันมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ไปสร้างสมมุติซ้อนขึ้นมา ว่าสุขและทุกข์เป็นด้านทั้งสองของเหรียญแห่งชีวิตอันเดียวกัน.
หลวงพ่อชา กล่าวว่า
“ทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด”
คำของหลวงพ่อ ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน แต่อุดมด้วยเนื้อหาแห่งสัจธรรมที่ไม่อาจปฏิเสธ ด้วยประโยคง่ายๆ นี้เอง ทำให้นึกถึงพระพักตร์ของพระพุทธองค์ที่มักจะทรงแย้มสรวลด้วยความผ่อนคลายและเปี่ยมด้วยเมตตาอยู่เสมอ ยามที่มีสัตว์โลกผู้ถูกความทุกข์ท่วมทับจนทุกข์หนักหนาสาหัสแทบล้มประดาตายเข้าไปกราบขอให้พระองค์ทรงเป็นที่พึ่ง แต่ทุกครั้งที่มีสัตว์ผู้ตกทุกข์ได้ยากเข้าไปเฝ้าขอพึ่งพระบารมี ไม่มีเลยแม้แต่ครั้งเดียวที่พระองค์จะทรงตกพระทัย หรือทรงเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่จนทรงสูญเสียปกติภาพ ตรงกันข้าม พระองค์กลับทรงปฏิสัมพันธ์ต่อความสุข ความทุกข์ ของมนุษยชาติด้วยราคาเดียวกันอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
ที่เป็นเช่นนี้ นั่นคงเป็นเพราะทรงตระหนักเป็นอย่างดีว่า
“ทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด”
คราวหนึ่งมีสตรีชาวบ้านคนหนึ่งถูกความทุกข์อันเนื่องมาจากการสูญเสียลูกชายครอบงำจนวิกลจริต เธอไม่อนุญาตให้มีการฌาปนกิจศพลูก เพราะเชื่อมั่นว่า ลูกยังไม่ตาย หรือถึงตายไปแล้ว แต่ก็ต้องมียาวิเศษที่จะชุบชีวิตลูกให้ฟื้นขึ้นมาจนได้
วันหนึ่ง เธออุ้มศพลูกน้อยที่เริ่มส่งกลิ่นเน่าเหม็นซมซานไปจนถึงพุทธสำนัก เมื่ออยู่ต่อพระพักตร์พระพุทธองค์แล้ว เธอจึงได้สติ พลางกราบทูลถามว่า พระองค์สามารถจะเยียวยาลูกชายของเธอให้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาดังเดิมได้หรือไม่
ทรงทอดพระเนตรดูเธอผู้กรมเกรียมเพราะถูกไฟแห่งความพลัดพรากแผดเผามายาวนาน พลางแย้มพระสรวลด้วยเมตตา ตรัสแก่เธอว่า
“น้องหญิง เราสามารถชุบชีวิตลูกชายของเธอได้ แต่ว่า เธอต้องไปหาเมล็ดผักกาดจากเรือนที่ยังไม่เคยมีคนตายมาก่อนมาให้เราสักหนึ่งกำมือเถิด ถ้าได้เมล็ดผักกาดจากเรือนที่ยังไม่เคยมีคนตายมาแล้ว เราตถาคต จะปรุงยาชุบชีวิตลูกชายของเธอด้วยเมล็ดผักกาดนั้น”
หญิงสาวดีใจจนน้ำตาไหล เธอออกเดินทางจากพระอาราม มุ่งหน้าเข้าสู่หมู่บ้าน เพื่อขอเมล็ดผักกาดจากบ้านที่ยังไม่เคยมีคนตาย แต่จนแล้วจนรอด เธอกลับได้รับแต่คำตอบปฏิเสธ จากทุกหลังคาเรือนที่เธอเอ่ยปากถาม
เมล็ดผักกาดนั้น จะหาจากเรือนหลังไหนก็ได้ แต่พอเธอเสงอเงื่อนไขที่สองที่ว่า “จากบ้านที่ยังไม่เคยมีคนตาย” เมล็ดผักกาดก็กลายเป็นของหายากขึ้นมาทันที
คุณแม่ยังสาวผู้สูญเสียลูกชาย อุ้มศพลูกน้อยเดินขึ้นเดินลงจากเรือนหลังนั้นสู่หลังนี้ แต่ทุกหลังคาเรือนที่เธอไปเยือน ล้วนแต่มีคำตอบปฏิเสธ เรือนหลังไหนๆ บ้านหลังไหนๆ ก็ล้วนแล้วแต่เคยมีคนตายมาก่อนแล้วทั้งนั้น
ในที่สุด ทุกๆ คำตอบปฏิเสธ ก็ได้สอนบทเรียนบทหนึ่งให้แก่เธอว่า
“ความตายเป็นของธรรมดา ใช่แต่เพียงลูกชายของเราเท่านั้น ที่ต้องตาย แท้ที่จริง คนในโลก ล้วนแต่จะต้องตายเหมือนกันทั้งหมด โดยไม่มีข้อยกเว้น”
พลันที่จิตตื่นรู้อันเป็นผลจากประสบการณ์ตรงที่เกิดแต่การเที่ยวหาเมล็ดผักกาดจากบ้านที่ยังไม่เคยมีคนตาย เมฆหมอกแห่งความทุกข์ก็คลี่คลายหายห่างออกไปจากชีวิตของเธอ หญิงสาวยินยอมให้มีการเผาศพลูกชายโดยดุษฎี จากนี้จึงตรงไปเฝ้าพระพุทธองค์ กราบทูลรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ตรงให้ทรงทราบ
สิ้นเสียงกราบทูลรายงานความคืบหน้าในทางธรรมของเธอแล้ว พระบรมครูทรงแย้มพระสรวลน้อยๆ พระพักตร์เจือด้วยพระเมตตาเต็มเปี่ยม นาทีนั้น หญิงสาวเข้าใจทันทีว่า สำหรับพระองค์แล้ว ความทุกข์ ความสุข มีราคาเดียวกันจริงๆ
นับแต่นั้นเป็นต้นมา อดีตคุณแม่ผู้ถูกความพลัดพรากจู่โจมจนวิกลจริต จึงหันหน้าเข้าเส้นทางธรรม อุทิศตนบวชเป็นภิกษุณีในพระธรรมวินัย และกลายเป็นพระอรหันต์ภายในเวลาไม่นานนัก
คำของหลวงพ่อชาที่ว่า
“ทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด”
เป็นถ้อยคำสำคัญมาก คำๆ นี้ เปลี่ยนชีวิตคนมาแล้วมากต่อมาก มิน่าเล่า เมื่อแรกที่พระพุทธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนา จึงทรงเริ่มมรรคมีองค์ ๘ ด้วย “สัมมาทิฐิ”
“สัมมาทิฐิ” คือ การเห็นชอบ การเห็นถูก การเห็นตรง (ตามความเป็นจริง)
การเห็นชอบ = การเห็นถูก การเห็นถูก = การเห็นตรง การเห็นตรง = การเห็นไม่ผิด ที่ว่าเห็นไม่ผิด คือ เห็นสอดคล้องกับความจริงที่เป็นจริงของมันอย่างนั้นเอง
“ทุกชีวิตเกิดมาล้วนต้องตาย”
นี่เป็นความจริงอันเป็นสัจธรรมของโลก
หากคนส่วนใหญ่เห็นความตายตามความเป็นจริงอย่างตรงไปตรงมา ความทุกข์เพราะความตาย คงไม่ใช่ความทุกข์อันยิ่งใหญ่ หรือบางที อาจไม่เป็นความทุกข์เลยด้วยซ้ำ ปราชญ์ทางพุทธธรรมท่านหนึ่งกล่าวว่า
“มีแต่ความตาย ไม่มีผู้ตาย”
นี่เป็นความจริงที่ลึกซึ้งกว่าข้อความข้างต้นอีกชั้นหนึ่ง หากเราทุกคนมองเห็นความจริงตามความเป็นจริงเช่นนี้ได้ ความตายคงไม่ใช่เรื่องน่ากลัวแม้แต่น้อย แต่ก็นั่นแหละ การเห็นตามความเป็นจริง ไม่ใช่เรื่องง่าย และเพราะไม่ใช่เรื่องง่ายนั่นเอง ความตายจึงยังคงเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนทั่วไปอยู่จนทุกวันนี้
ทว่าสำหรับผู้ฝึกตนจนมีสัมมาปัญญาแล้ว ท่านเหล่านั้นล้วนปฏิสัมพันธ์ต่อความสุข ความทุกข์ด้วยราคาเดียวกัน
สุขก็ธรรมดา
ทุกข์ก็ธรรมดา
มีแต่ธรรมดาเท่านั้นเกิดขึ้น
มีแต่ธรรมดาเท่านั้นดำรงอยู่
มีแต่ธรรมดาเท่านั้นแตกดับไป
นอกจากธรรมดาแล้ว ไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรดับ
ใครเห็นธรรมดา คนนั้น เห็นธรรม ใครเห็นธรรม คนนั้นเห็นธรรมดา
ใจที่เห็นธรรมดา เป็นใจที่ไม่หวั่นไหวเพราะสุขและทุกข์อีกต่อไป เนื่องเพราะ สุขและทุกข์ ไม่ใช่สองด้านของเหรียญอันเดียวกัน แต่เป็นด้านเดียวกันมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ไปสร้างสมมุติซ้อนขึ้นมา ว่าสุขและทุกข์เป็นด้านทั้งสองของเหรียญแห่งชีวิตอันเดียวกัน.
"ความพอดีของชีวิต"
ความพอดีของชีวิตคนทุกคนมีความทะเยอทะยานเหมือนกันหมด...
หากต่างกันก็คงเพียงแค่...ใครจะมากใครจะน้อยกว่ากันเท่านั้น...
ความทะเยอทะยานที่ว่าน่าจะหมายถึง...
ความคิดที่อยากจะนำพาชีวิตไปสู่จุดที่สูงที่สุด...ดีที่สุด
ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็แล้วแต่
บางครั้งความทะเยอทะยานที่ว่า ก็กลายเป็นกิเลส
ที่ทำให้คนเราอยากได้อยากมี
เมื่อได้แล้ว เมื่อมีแล้ว ก็อยากได้ อยากมีอีก ไม่มีความพอดีในชีวิต
ไม่มีคำว่าดีที่สุด...อะไร ๆ ก็ไม่สมบูรณ์แบบสำหรับชีวิตเสียที...
แทนที่ความทะเยอทะยาน จะช่วยเป็นแรงขับให้ชีวิตเดินทางไปถึงเป้าหมาย..
เป็นยานพาหนะ ที่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จของชีวิต...
กลับกลายเป็นหอกที่คอยทิ่มแทง ชีวิตให้ทุกข์ทรมาน
ให้เจ็บปวด ให้ชีวิตต้องดิ้นรนอยู่ตลอดเวลา...
เพราะความอยากที่คอยจะทะยานอย่างไม่มีที่หยุด
ลองย้อนกลับไปมองต้นทุนของชีวิตคนเรา...
แท้จริงแล้วเราก็ตัวเปล่าเล่าเปลือยมาตั้งแต่เกิด
สิ่งที่ติดตัวมาก็เป็นเพียงวัตถุนอกกาย ที่สักวันก็ต้องสูญสลายหายไป
หรือตัวเราเองนั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายจากลาวัตถุเหล่านั้น
โดยไม่มีวันกลับมาชื่นชมมันอีก
หากเราไม่ยึดติดอยู่กับความสะดวกสบาย...
และไม่ยึดติดอยู่กับจำนวนเงินตราที่เราต้องหามาเพิ่มมากขึ้น ๆ ทุกวัน ...
จนทำให้เราหลงคิดว่า...สิ่งเหล่านี้จะบันดาลให้เราเป็นพระเจ้าไ ด้
ทำให้เราอยู่เหนือคนอื่นและทำให้เราเป็นผู้ยิ่งใหญ่...
เราจะค้นพบว่าจริง ๆ แล้วเราก็แค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
ที่มีความสุขในชีวิตได้ ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายได้...
ทานอาหารแต่ละมื้อ ได้อย่างอิ่มหนำสำราญ
มีเวลาได้ดูหนังดี ๆ มีโอกาสฟังเพลงเพราะ ๆ
มีห้วงเวลาที่ได้อยู่กับคนที่เรารัก ได้ทำอะไรดี ๆ แก่เขา
ได้สังสรรค์กับครอบครัว ทำให้คนในครอบครัวมีความสุข
และไม่ต้องใช้ชีวิตด้วยการวิ่ง วิ่งและก็วิ่งเร็วขึ้นไปเรื่อย ๆ
หากวันนี้เราต้องเหนื่อยกับการวิ่งอยู่ตลอดเวลา
ลองแวะพักเพื่อให้ตัวเองได้ชื่นชมสิ่งต่าง ๆ เสียบ้าง
เราจะได้มีเวลาเป็นของตัวเองมากขึ้น
ไม่ต้องกังวลและเป็นทุกข์เป็นร้อน
ที่จะต้องรีบไปให้ถึงปลายทาง..
ปล่อยใจเพลิดเพลิน ไปกับการหาความสุขของชีวิตจะดีกว่า
เมื่อเรามีความสุขแล้ว เราก็จะพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่
เมื่อเราพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ เราก็จะเห็นตัวตนของตัวเองได้ชัดเจนขึ้น...
มีความสนุกกับการใช้ชีวิตมากขึ้น
เมื่อนั้นเราก็จะได้ไม่ต้อง วิ่ง วิ่ง วิ่งให้เหนื่อยแรง
และทุกข์อก ทุกข์ใจเหมือนที่เคยเป็นมา...
"ความรักจะสมบูรณ์แบบได้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับคนสองคน
ชีวิตจะสมบูรณ์แบบได้...ก็ต้องอยู่ที่ความพอดีของการใช้ชีวิต.."
ว่ากันว่า..."
บางทีความสมบูรณ์แบบของชีวิต ก็ไม่ได้อยู่ที่ความเร็วของการเดินทาง
แต่อยู่ที่เราสนุกกับการเก็บเกี่ยวความสุข ระหว่างการเดินทางต่างหาก..."
ที่มา : ทำดีดอทคอม
หากต่างกันก็คงเพียงแค่...ใครจะมากใครจะน้อยกว่ากันเท่านั้น...
ความทะเยอทะยานที่ว่าน่าจะหมายถึง...
ความคิดที่อยากจะนำพาชีวิตไปสู่จุดที่สูงที่สุด...ดีที่สุด
ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็แล้วแต่
บางครั้งความทะเยอทะยานที่ว่า ก็กลายเป็นกิเลส
ที่ทำให้คนเราอยากได้อยากมี
เมื่อได้แล้ว เมื่อมีแล้ว ก็อยากได้ อยากมีอีก ไม่มีความพอดีในชีวิต
ไม่มีคำว่าดีที่สุด...อะไร ๆ ก็ไม่สมบูรณ์แบบสำหรับชีวิตเสียที...
แทนที่ความทะเยอทะยาน จะช่วยเป็นแรงขับให้ชีวิตเดินทางไปถึงเป้าหมาย..
เป็นยานพาหนะ ที่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จของชีวิต...
กลับกลายเป็นหอกที่คอยทิ่มแทง ชีวิตให้ทุกข์ทรมาน
ให้เจ็บปวด ให้ชีวิตต้องดิ้นรนอยู่ตลอดเวลา...
เพราะความอยากที่คอยจะทะยานอย่างไม่มีที่หยุด
ลองย้อนกลับไปมองต้นทุนของชีวิตคนเรา...
แท้จริงแล้วเราก็ตัวเปล่าเล่าเปลือยมาตั้งแต่เกิด
สิ่งที่ติดตัวมาก็เป็นเพียงวัตถุนอกกาย ที่สักวันก็ต้องสูญสลายหายไป
หรือตัวเราเองนั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายจากลาวัตถุเหล่านั้น
โดยไม่มีวันกลับมาชื่นชมมันอีก
หากเราไม่ยึดติดอยู่กับความสะดวกสบาย...
และไม่ยึดติดอยู่กับจำนวนเงินตราที่เราต้องหามาเพิ่มมากขึ้น ๆ ทุกวัน ...
จนทำให้เราหลงคิดว่า...สิ่งเหล่านี้จะบันดาลให้เราเป็นพระเจ้าไ ด้
ทำให้เราอยู่เหนือคนอื่นและทำให้เราเป็นผู้ยิ่งใหญ่...
เราจะค้นพบว่าจริง ๆ แล้วเราก็แค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
ที่มีความสุขในชีวิตได้ ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายได้...
ทานอาหารแต่ละมื้อ ได้อย่างอิ่มหนำสำราญ
มีเวลาได้ดูหนังดี ๆ มีโอกาสฟังเพลงเพราะ ๆ
มีห้วงเวลาที่ได้อยู่กับคนที่เรารัก ได้ทำอะไรดี ๆ แก่เขา
ได้สังสรรค์กับครอบครัว ทำให้คนในครอบครัวมีความสุข
และไม่ต้องใช้ชีวิตด้วยการวิ่ง วิ่งและก็วิ่งเร็วขึ้นไปเรื่อย ๆ
หากวันนี้เราต้องเหนื่อยกับการวิ่งอยู่ตลอดเวลา
ลองแวะพักเพื่อให้ตัวเองได้ชื่นชมสิ่งต่าง ๆ เสียบ้าง
เราจะได้มีเวลาเป็นของตัวเองมากขึ้น
ไม่ต้องกังวลและเป็นทุกข์เป็นร้อน
ที่จะต้องรีบไปให้ถึงปลายทาง..
ปล่อยใจเพลิดเพลิน ไปกับการหาความสุขของชีวิตจะดีกว่า
เมื่อเรามีความสุขแล้ว เราก็จะพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่
เมื่อเราพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ เราก็จะเห็นตัวตนของตัวเองได้ชัดเจนขึ้น...
มีความสนุกกับการใช้ชีวิตมากขึ้น
เมื่อนั้นเราก็จะได้ไม่ต้อง วิ่ง วิ่ง วิ่งให้เหนื่อยแรง
และทุกข์อก ทุกข์ใจเหมือนที่เคยเป็นมา...
"ความรักจะสมบูรณ์แบบได้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับคนสองคน
ชีวิตจะสมบูรณ์แบบได้...ก็ต้องอยู่ที่ความพอดีของการใช้ชีวิต.."
ว่ากันว่า..."
บางทีความสมบูรณ์แบบของชีวิต ก็ไม่ได้อยู่ที่ความเร็วของการเดินทาง
แต่อยู่ที่เราสนุกกับการเก็บเกี่ยวความสุข ระหว่างการเดินทางต่างหาก..."
ที่มา : ทำดีดอทคอม
วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
คุณธรรม จริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง กระบวนการต่างๆ และระบบงานที่ช่วยให้ได้สารสนเทศหรือข่าวสารที่ต้องการ โดยจะรวมถึง
1. เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ หมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องใช้สำนักงาน อุปกรณ์คมนาคมต่างๆ รวมทั้งซอฟต์แวร์ทั้งระบบสำเร็จรูปและพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะด้าน
2. กระบวนการในการนำอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ข้างต้นมาใช้งาน รวบรวมข้อมูล จัดเก็บประมวลผล และแสดงผลลัพธ์เป็นสารสนเทศในรูปแบบต่างๆ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ต่อไป
ในปัจจุบันการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกองค์กร การเชื่อมโยงสารสนเทศผ่านทางคอมพิวเตอร์ ทำให้สิ่งที่มีค่ามากที่สุดของระบบ คือ ข้อมูลและสารสนเทศ อาจถูกจารกรรม ถูกปรับเปลี่ยน ถูกเข้าถึงโดยเจ้าของไม่รู้ตัว ถูกปิดกั้นขัดขวางให้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ หรือถูกทำลายเสียหายไป ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ไม่ยากบนโลกของเครือข่าย โดยเฉพาะเมื่อยู่บนอินเทอร์เน็ต
ดังนั้นการมีคุณธรรม และจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีจึงเป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน มีรายละเอียดดังนี้
1.ไม่ควรให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ
2.ไม่บิดเบือนความถูกต้องของข้อมูล ให้ผู้รับคนต่อไปได้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง
3.ไม่ควรเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
4.ไม่ควรเปิดเผยข้อมูลกับผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาต
5.ไม่ทำลายข้อมูล
6.ไม่เข้าควบคุมระบบบางส่วน หรือทั้งหมดโดยไม่ได้รับอนุญาต
7.ไม่ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจว่าตัวเองเป็นอีกบุคคลหนึ่ง ตัวอย่างเช่น การปลอมอีเมล์ของผู้ส่งเพื่อให้ผู้รับเข้าใจผิด เพื่อการเข้าใจผิด หรือ ต้องการล้วงความลับ
8.การขัดขวางการให้บริการของเซิร์ฟเวอร์ โดยการทำให้มีการใช้ทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์จนหมด หรือถึงขีดจำกัดของมัน ตัวอย่างเช่น เว็บเซิร์ฟเวอร์ หรือ อีเมล์เซิร์ฟเวอร์ การโจมตีจะทำโดยการเปิดการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์จนถึงขีดจำกัดของเซิร์ฟเวอร์ ทำให้ผู้ใช้คนอื่นๆไม่สามารถเข้ามาใช้บริการได้
9.ไม่ปล่อย หรือ สร้างโปรแกรมประสงค์ร้าย (Malicious Program) ซึ่งเรียกย่อๆว่า (Malware) เป็นโปรแกรมที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำการ ก่อกวน ทำลาย หรือทำความเสียหายระบบคอมพิวเตอร์เครือข่าย โปรแกรมประสงค์ร้ายที่แพร่หลายในปัจจุบันคือ ไวรัส เวิร์ม และม้าโทรจัน
10.ไม่ก่อความรำคาญให้กับผู้อื่น โดยวิธีการต่างๆ เช่น สแปม (Spam) (การส่งอีเมลไปยังผู้ใช้จำนวนมาก โดยมีจุดประสงค์เพื่อการโฆษณา)
11.ไม่ผลิตหรือใช้สปายแวร์ (Spyware) โดยสปายแวร์จะใช้ช่องทางการเชื่อมต่อทางอินเตอร์เน็ตเพื่อแอบส่งข้อมูลส่วนตัวของผู้นั้นไปให้กับบุคคลหรือองค์กรหนึ่งโดยที่ผู้ใช้ไม่ทราบ
12.ไม่สร้างหรือใช้ไวรัส
1. เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ หมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องใช้สำนักงาน อุปกรณ์คมนาคมต่างๆ รวมทั้งซอฟต์แวร์ทั้งระบบสำเร็จรูปและพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะด้าน
2. กระบวนการในการนำอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ข้างต้นมาใช้งาน รวบรวมข้อมูล จัดเก็บประมวลผล และแสดงผลลัพธ์เป็นสารสนเทศในรูปแบบต่างๆ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ต่อไป
ในปัจจุบันการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกองค์กร การเชื่อมโยงสารสนเทศผ่านทางคอมพิวเตอร์ ทำให้สิ่งที่มีค่ามากที่สุดของระบบ คือ ข้อมูลและสารสนเทศ อาจถูกจารกรรม ถูกปรับเปลี่ยน ถูกเข้าถึงโดยเจ้าของไม่รู้ตัว ถูกปิดกั้นขัดขวางให้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ หรือถูกทำลายเสียหายไป ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ไม่ยากบนโลกของเครือข่าย โดยเฉพาะเมื่อยู่บนอินเทอร์เน็ต
ดังนั้นการมีคุณธรรม และจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีจึงเป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน มีรายละเอียดดังนี้
1.ไม่ควรให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ
2.ไม่บิดเบือนความถูกต้องของข้อมูล ให้ผู้รับคนต่อไปได้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง
3.ไม่ควรเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
4.ไม่ควรเปิดเผยข้อมูลกับผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาต
5.ไม่ทำลายข้อมูล
6.ไม่เข้าควบคุมระบบบางส่วน หรือทั้งหมดโดยไม่ได้รับอนุญาต
7.ไม่ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจว่าตัวเองเป็นอีกบุคคลหนึ่ง ตัวอย่างเช่น การปลอมอีเมล์ของผู้ส่งเพื่อให้ผู้รับเข้าใจผิด เพื่อการเข้าใจผิด หรือ ต้องการล้วงความลับ
8.การขัดขวางการให้บริการของเซิร์ฟเวอร์ โดยการทำให้มีการใช้ทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์จนหมด หรือถึงขีดจำกัดของมัน ตัวอย่างเช่น เว็บเซิร์ฟเวอร์ หรือ อีเมล์เซิร์ฟเวอร์ การโจมตีจะทำโดยการเปิดการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์จนถึงขีดจำกัดของเซิร์ฟเวอร์ ทำให้ผู้ใช้คนอื่นๆไม่สามารถเข้ามาใช้บริการได้
9.ไม่ปล่อย หรือ สร้างโปรแกรมประสงค์ร้าย (Malicious Program) ซึ่งเรียกย่อๆว่า (Malware) เป็นโปรแกรมที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำการ ก่อกวน ทำลาย หรือทำความเสียหายระบบคอมพิวเตอร์เครือข่าย โปรแกรมประสงค์ร้ายที่แพร่หลายในปัจจุบันคือ ไวรัส เวิร์ม และม้าโทรจัน
10.ไม่ก่อความรำคาญให้กับผู้อื่น โดยวิธีการต่างๆ เช่น สแปม (Spam) (การส่งอีเมลไปยังผู้ใช้จำนวนมาก โดยมีจุดประสงค์เพื่อการโฆษณา)
11.ไม่ผลิตหรือใช้สปายแวร์ (Spyware) โดยสปายแวร์จะใช้ช่องทางการเชื่อมต่อทางอินเตอร์เน็ตเพื่อแอบส่งข้อมูลส่วนตัวของผู้นั้นไปให้กับบุคคลหรือองค์กรหนึ่งโดยที่ผู้ใช้ไม่ทราบ
12.ไม่สร้างหรือใช้ไวรัส
วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
[movie] Felon - คนคุกเดือด

เวด พอร์เตอร์ (สตีเฟ่น ดอร์ฟ) คือหัวหน้าครอบครัวที่ดีและมีอนาคตที่สดใส แต่ทุกสิ่งพังไปในพริบตาเมื่อเขาพลั้งมือฆ่าคนร้ายที่บุกเข้ามาปล้นบ้านของเขา ด้วยข้อหาฆ่าคนโดยไม่มีการไตร่ตรอง เวดถูกจำคุก 3 ปีในเรือนจำที่เข้มงวดที่สุดและกฏหมายภายนอกกลายเป็นเศษกระดาษสำหรับโลกใบนี้ เมื่อจำต้องอยู่ร่วมห้องขังกับฆาตกรอำมหิต (วัล คิลเมอร์) และเป็นที่หมายหัวของหัวหน้าผู้คุมจอมโหด (แฮโรลด์ พาร์รินิว) เวดเรียนรู้ว่าเขาต้องต่อสู้เพื่อตัวเองและต้องเป็นนักโทษที่อันตรายที่สุดถ้าหากเขายังอยากมีชีวิตรอดออกมา...อะไรก็ตามที่ล้มคุณไม่ได้ มีแต่จะทำให้คุณแกร่ง และในคุกนรกเช่นนี้ คนที่แกร่งที่สุดคือผู้รอด ...
...ที่เอาหนังเรื่องนี้ มาลงไว้ ก็เพราะว่า เรื่องนี้ ตอนแรกที่ดูเปนหนังที่เครียดมาก นั่งลุ้นไปตลอดเรื่องเลย ซึ่ง คอร์ฟ ก็เล่นออกมาดี จนทำให้เราอินตามหนังไปเลยทีเดียว สิ่งที่ได้จากเรื่องนี้มีเยอะแยะเลยนะ อย่างข้อคิดที่ว่า "อาจไม่สวยหรู แต่มันสัจธรรม" อันนี้ มันก็จริงนะ ชีวิตเราเลือกไม่ได้นี่เนอะว่า อยู่ๆจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา แต่ไงๆ มันก็เกิดขึ้นมาแล้ว ถึงมันจะไม่เป็นไปตามใจเรากำหนดไว้ แต่มันก็คือความจริง ที่เราจะต้องฝ่าฟันผ่านไปให้ได้ ^^ ลองหาเรื่องนี้ดู สุดยอดจริงๆ ... ><"
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Trailer หนังดีๆ
[MV] I need some body
ทำกันเล่นๆ ฮาๆ ^___________________^
[T]aekwondo~
เทควันโด คือ ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว โดยไม่ใช้อาวุธของ ชาวเกาหลี
คำว่า เท (태) แปลว่า เท้า หรือการโจมตีด้วยเท้า
คำว่า ควัน (권) แปลว่า มือ หรือการโจมตีด้วยมือ
คำว่า โด (도) แปลว่า วิถี
ดังนั้นเทควันโดโดยทั่วไป หมายถึง วิถีแห่งการใช้มือและเท้าในการต่อสู้และป้องกันตัว