ฮ่าๆๆ mv น่ารักดีอะ เนอะๆๆ
วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2552
[mv] เหตุการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลง
เอามาลง มันซึ้งดีงะ T0T
เนื้อเพลง ^^
ในแจกันมีดอกไม้ สีที่เธอบอกว่าหวาน
มันยังวางอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าวันใด
มุมเดิมที่เธอนอนดูหนัง ยังกวาดยังถูอยู่ร่ำไป
เผื่อไว้ วันนี้บางทีเธอนั้นจะมา
เหตุการณ์ไม่เคยจะเปลี่ยนผัน ฉันยังจำวันเวลา
ยังรอ ไม่ว่ายาวนานเท่าไร
เมื่อชีวิตฉันเหลืออยู่แค่นี้ แค่ภาพดีๆ ในใจ
ฉันจะทนอยู่ได้ยังไง หากเธอไม่คืนย้อนมา
ความหวังคือสิ่งสุดท้าย เลี้ยงจิตใจที่มันอ่อนล้า
รู้ดี จะไม่มีใครกลับมา แต่ไม่กล้าลืม
นาฬิกาหยุดเคลื่อนไหว เสียงในใจบอกกับฉัน
เธอยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่ทิ้งกันไป
กลิ่นควันกาแฟในตอนเช้า ถ้วยเก่าที่คุ้นปากของใคร
ตั้งไว้ พรุ่งนี้บางทีเธอนั้นจะมา
เหตุการณ์ไม่เคยยอมเปลี่ยนผัน ฉันไม่มีวันเวลา
จะรอ ไม่ว่ายาวนานเท่าไร
เมื่อชีวิตฉันเหลืออยู่แค่นี้ แค่ภาพดีๆ ในใจ
ฉันจะทนอยู่ได้ยังไง หากเธอไม่คืนย้อนมา
ความหวังคือสิ่งสุดท้าย เลี้ยงจิตใจที่มันอ่อนล้า
รู้ดี จะไม่มีใครกลับมา แต่ไม่กล้าลืม
ชีวิตฉันเหลืออยู่แค่นี้ แค่ภาพดีๆ ในใจ
โลกความจริงโหดร้ายเกินไป เมื่อใครบางคนพูดลา
ความหวังคือสิ่งสุดท้าย เลี้ยงจิตใจที่มันอ่อนล้า
รู้ดี จะไม่มีใครกลับมา แต่ไม่กล้าลืม
ชีวิตฉันเหลืออยู่แค่นี้ แค่ภาพดีๆ ในใจ
โลกความจริงโหดร้ายเกินไป เมื่อใครบางคนพูดลา
ความหวังคือสิ่งสุดท้าย เลี้ยงจิตใจที่มันอ่อนล้า
รู้ดี จะไม่มีใครกลับมา แต่ว่าฉันรอ
เนื้อเพลง ^^
ในแจกันมีดอกไม้ สีที่เธอบอกว่าหวาน
มันยังวางอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าวันใด
มุมเดิมที่เธอนอนดูหนัง ยังกวาดยังถูอยู่ร่ำไป
เผื่อไว้ วันนี้บางทีเธอนั้นจะมา
เหตุการณ์ไม่เคยจะเปลี่ยนผัน ฉันยังจำวันเวลา
ยังรอ ไม่ว่ายาวนานเท่าไร
เมื่อชีวิตฉันเหลืออยู่แค่นี้ แค่ภาพดีๆ ในใจ
ฉันจะทนอยู่ได้ยังไง หากเธอไม่คืนย้อนมา
ความหวังคือสิ่งสุดท้าย เลี้ยงจิตใจที่มันอ่อนล้า
รู้ดี จะไม่มีใครกลับมา แต่ไม่กล้าลืม
นาฬิกาหยุดเคลื่อนไหว เสียงในใจบอกกับฉัน
เธอยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่ทิ้งกันไป
กลิ่นควันกาแฟในตอนเช้า ถ้วยเก่าที่คุ้นปากของใคร
ตั้งไว้ พรุ่งนี้บางทีเธอนั้นจะมา
เหตุการณ์ไม่เคยยอมเปลี่ยนผัน ฉันไม่มีวันเวลา
จะรอ ไม่ว่ายาวนานเท่าไร
เมื่อชีวิตฉันเหลืออยู่แค่นี้ แค่ภาพดีๆ ในใจ
ฉันจะทนอยู่ได้ยังไง หากเธอไม่คืนย้อนมา
ความหวังคือสิ่งสุดท้าย เลี้ยงจิตใจที่มันอ่อนล้า
รู้ดี จะไม่มีใครกลับมา แต่ไม่กล้าลืม
ชีวิตฉันเหลืออยู่แค่นี้ แค่ภาพดีๆ ในใจ
โลกความจริงโหดร้ายเกินไป เมื่อใครบางคนพูดลา
ความหวังคือสิ่งสุดท้าย เลี้ยงจิตใจที่มันอ่อนล้า
รู้ดี จะไม่มีใครกลับมา แต่ไม่กล้าลืม
ชีวิตฉันเหลืออยู่แค่นี้ แค่ภาพดีๆ ในใจ
โลกความจริงโหดร้ายเกินไป เมื่อใครบางคนพูดลา
ความหวังคือสิ่งสุดท้าย เลี้ยงจิตใจที่มันอ่อนล้า
รู้ดี จะไม่มีใครกลับมา แต่ว่าฉันรอ
วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2552
วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2552
วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2552
วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
ความสุข ความทุกข์ ราคาเสมอกัน
วันหนึ่งผู้เขียนได้รับหนังสือแจกในงานศพของใครคนหนึ่ง ซึ่งมีผู้มาบริจาคไว้ที่ห้องสมุดที่วัด พลิกดูผ่านๆ พลันก็ได้พบกับคำคมของหลวงพ่อชา สุภัทโท พระวิปัสสนาจารย์ผู้มีชื่อเสียงขจรไกลไปทั่วโลก และเพราะคำคมของท่าน ทำให้ต้องกลับมาพลิกอ่านหนังสือเล่มนั้นต่อไปจนจบ
หลวงพ่อชา กล่าวว่า
“ทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด”
คำของหลวงพ่อ ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน แต่อุดมด้วยเนื้อหาแห่งสัจธรรมที่ไม่อาจปฏิเสธ ด้วยประโยคง่ายๆ นี้เอง ทำให้นึกถึงพระพักตร์ของพระพุทธองค์ที่มักจะทรงแย้มสรวลด้วยความผ่อนคลายและเปี่ยมด้วยเมตตาอยู่เสมอ ยามที่มีสัตว์โลกผู้ถูกความทุกข์ท่วมทับจนทุกข์หนักหนาสาหัสแทบล้มประดาตายเข้าไปกราบขอให้พระองค์ทรงเป็นที่พึ่ง แต่ทุกครั้งที่มีสัตว์ผู้ตกทุกข์ได้ยากเข้าไปเฝ้าขอพึ่งพระบารมี ไม่มีเลยแม้แต่ครั้งเดียวที่พระองค์จะทรงตกพระทัย หรือทรงเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่จนทรงสูญเสียปกติภาพ ตรงกันข้าม พระองค์กลับทรงปฏิสัมพันธ์ต่อความสุข ความทุกข์ ของมนุษยชาติด้วยราคาเดียวกันอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
ที่เป็นเช่นนี้ นั่นคงเป็นเพราะทรงตระหนักเป็นอย่างดีว่า
“ทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด”
คราวหนึ่งมีสตรีชาวบ้านคนหนึ่งถูกความทุกข์อันเนื่องมาจากการสูญเสียลูกชายครอบงำจนวิกลจริต เธอไม่อนุญาตให้มีการฌาปนกิจศพลูก เพราะเชื่อมั่นว่า ลูกยังไม่ตาย หรือถึงตายไปแล้ว แต่ก็ต้องมียาวิเศษที่จะชุบชีวิตลูกให้ฟื้นขึ้นมาจนได้
วันหนึ่ง เธออุ้มศพลูกน้อยที่เริ่มส่งกลิ่นเน่าเหม็นซมซานไปจนถึงพุทธสำนัก เมื่ออยู่ต่อพระพักตร์พระพุทธองค์แล้ว เธอจึงได้สติ พลางกราบทูลถามว่า พระองค์สามารถจะเยียวยาลูกชายของเธอให้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาดังเดิมได้หรือไม่
ทรงทอดพระเนตรดูเธอผู้กรมเกรียมเพราะถูกไฟแห่งความพลัดพรากแผดเผามายาวนาน พลางแย้มพระสรวลด้วยเมตตา ตรัสแก่เธอว่า
“น้องหญิง เราสามารถชุบชีวิตลูกชายของเธอได้ แต่ว่า เธอต้องไปหาเมล็ดผักกาดจากเรือนที่ยังไม่เคยมีคนตายมาก่อนมาให้เราสักหนึ่งกำมือเถิด ถ้าได้เมล็ดผักกาดจากเรือนที่ยังไม่เคยมีคนตายมาแล้ว เราตถาคต จะปรุงยาชุบชีวิตลูกชายของเธอด้วยเมล็ดผักกาดนั้น”
หญิงสาวดีใจจนน้ำตาไหล เธอออกเดินทางจากพระอาราม มุ่งหน้าเข้าสู่หมู่บ้าน เพื่อขอเมล็ดผักกาดจากบ้านที่ยังไม่เคยมีคนตาย แต่จนแล้วจนรอด เธอกลับได้รับแต่คำตอบปฏิเสธ จากทุกหลังคาเรือนที่เธอเอ่ยปากถาม
เมล็ดผักกาดนั้น จะหาจากเรือนหลังไหนก็ได้ แต่พอเธอเสงอเงื่อนไขที่สองที่ว่า “จากบ้านที่ยังไม่เคยมีคนตาย” เมล็ดผักกาดก็กลายเป็นของหายากขึ้นมาทันที
คุณแม่ยังสาวผู้สูญเสียลูกชาย อุ้มศพลูกน้อยเดินขึ้นเดินลงจากเรือนหลังนั้นสู่หลังนี้ แต่ทุกหลังคาเรือนที่เธอไปเยือน ล้วนแต่มีคำตอบปฏิเสธ เรือนหลังไหนๆ บ้านหลังไหนๆ ก็ล้วนแล้วแต่เคยมีคนตายมาก่อนแล้วทั้งนั้น
ในที่สุด ทุกๆ คำตอบปฏิเสธ ก็ได้สอนบทเรียนบทหนึ่งให้แก่เธอว่า
“ความตายเป็นของธรรมดา ใช่แต่เพียงลูกชายของเราเท่านั้น ที่ต้องตาย แท้ที่จริง คนในโลก ล้วนแต่จะต้องตายเหมือนกันทั้งหมด โดยไม่มีข้อยกเว้น”
พลันที่จิตตื่นรู้อันเป็นผลจากประสบการณ์ตรงที่เกิดแต่การเที่ยวหาเมล็ดผักกาดจากบ้านที่ยังไม่เคยมีคนตาย เมฆหมอกแห่งความทุกข์ก็คลี่คลายหายห่างออกไปจากชีวิตของเธอ หญิงสาวยินยอมให้มีการเผาศพลูกชายโดยดุษฎี จากนี้จึงตรงไปเฝ้าพระพุทธองค์ กราบทูลรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ตรงให้ทรงทราบ
สิ้นเสียงกราบทูลรายงานความคืบหน้าในทางธรรมของเธอแล้ว พระบรมครูทรงแย้มพระสรวลน้อยๆ พระพักตร์เจือด้วยพระเมตตาเต็มเปี่ยม นาทีนั้น หญิงสาวเข้าใจทันทีว่า สำหรับพระองค์แล้ว ความทุกข์ ความสุข มีราคาเดียวกันจริงๆ
นับแต่นั้นเป็นต้นมา อดีตคุณแม่ผู้ถูกความพลัดพรากจู่โจมจนวิกลจริต จึงหันหน้าเข้าเส้นทางธรรม อุทิศตนบวชเป็นภิกษุณีในพระธรรมวินัย และกลายเป็นพระอรหันต์ภายในเวลาไม่นานนัก
คำของหลวงพ่อชาที่ว่า
“ทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด”
เป็นถ้อยคำสำคัญมาก คำๆ นี้ เปลี่ยนชีวิตคนมาแล้วมากต่อมาก มิน่าเล่า เมื่อแรกที่พระพุทธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนา จึงทรงเริ่มมรรคมีองค์ ๘ ด้วย “สัมมาทิฐิ”
“สัมมาทิฐิ” คือ การเห็นชอบ การเห็นถูก การเห็นตรง (ตามความเป็นจริง)
การเห็นชอบ = การเห็นถูก การเห็นถูก = การเห็นตรง การเห็นตรง = การเห็นไม่ผิด ที่ว่าเห็นไม่ผิด คือ เห็นสอดคล้องกับความจริงที่เป็นจริงของมันอย่างนั้นเอง
“ทุกชีวิตเกิดมาล้วนต้องตาย”
นี่เป็นความจริงอันเป็นสัจธรรมของโลก
หากคนส่วนใหญ่เห็นความตายตามความเป็นจริงอย่างตรงไปตรงมา ความทุกข์เพราะความตาย คงไม่ใช่ความทุกข์อันยิ่งใหญ่ หรือบางที อาจไม่เป็นความทุกข์เลยด้วยซ้ำ ปราชญ์ทางพุทธธรรมท่านหนึ่งกล่าวว่า
“มีแต่ความตาย ไม่มีผู้ตาย”
นี่เป็นความจริงที่ลึกซึ้งกว่าข้อความข้างต้นอีกชั้นหนึ่ง หากเราทุกคนมองเห็นความจริงตามความเป็นจริงเช่นนี้ได้ ความตายคงไม่ใช่เรื่องน่ากลัวแม้แต่น้อย แต่ก็นั่นแหละ การเห็นตามความเป็นจริง ไม่ใช่เรื่องง่าย และเพราะไม่ใช่เรื่องง่ายนั่นเอง ความตายจึงยังคงเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนทั่วไปอยู่จนทุกวันนี้
ทว่าสำหรับผู้ฝึกตนจนมีสัมมาปัญญาแล้ว ท่านเหล่านั้นล้วนปฏิสัมพันธ์ต่อความสุข ความทุกข์ด้วยราคาเดียวกัน
สุขก็ธรรมดา
ทุกข์ก็ธรรมดา
มีแต่ธรรมดาเท่านั้นเกิดขึ้น
มีแต่ธรรมดาเท่านั้นดำรงอยู่
มีแต่ธรรมดาเท่านั้นแตกดับไป
นอกจากธรรมดาแล้ว ไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรดับ
ใครเห็นธรรมดา คนนั้น เห็นธรรม ใครเห็นธรรม คนนั้นเห็นธรรมดา
ใจที่เห็นธรรมดา เป็นใจที่ไม่หวั่นไหวเพราะสุขและทุกข์อีกต่อไป เนื่องเพราะ สุขและทุกข์ ไม่ใช่สองด้านของเหรียญอันเดียวกัน แต่เป็นด้านเดียวกันมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ไปสร้างสมมุติซ้อนขึ้นมา ว่าสุขและทุกข์เป็นด้านทั้งสองของเหรียญแห่งชีวิตอันเดียวกัน.
หลวงพ่อชา กล่าวว่า
“ทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด”
คำของหลวงพ่อ ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน แต่อุดมด้วยเนื้อหาแห่งสัจธรรมที่ไม่อาจปฏิเสธ ด้วยประโยคง่ายๆ นี้เอง ทำให้นึกถึงพระพักตร์ของพระพุทธองค์ที่มักจะทรงแย้มสรวลด้วยความผ่อนคลายและเปี่ยมด้วยเมตตาอยู่เสมอ ยามที่มีสัตว์โลกผู้ถูกความทุกข์ท่วมทับจนทุกข์หนักหนาสาหัสแทบล้มประดาตายเข้าไปกราบขอให้พระองค์ทรงเป็นที่พึ่ง แต่ทุกครั้งที่มีสัตว์ผู้ตกทุกข์ได้ยากเข้าไปเฝ้าขอพึ่งพระบารมี ไม่มีเลยแม้แต่ครั้งเดียวที่พระองค์จะทรงตกพระทัย หรือทรงเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่จนทรงสูญเสียปกติภาพ ตรงกันข้าม พระองค์กลับทรงปฏิสัมพันธ์ต่อความสุข ความทุกข์ ของมนุษยชาติด้วยราคาเดียวกันอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
ที่เป็นเช่นนี้ นั่นคงเป็นเพราะทรงตระหนักเป็นอย่างดีว่า
“ทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด”
คราวหนึ่งมีสตรีชาวบ้านคนหนึ่งถูกความทุกข์อันเนื่องมาจากการสูญเสียลูกชายครอบงำจนวิกลจริต เธอไม่อนุญาตให้มีการฌาปนกิจศพลูก เพราะเชื่อมั่นว่า ลูกยังไม่ตาย หรือถึงตายไปแล้ว แต่ก็ต้องมียาวิเศษที่จะชุบชีวิตลูกให้ฟื้นขึ้นมาจนได้
วันหนึ่ง เธออุ้มศพลูกน้อยที่เริ่มส่งกลิ่นเน่าเหม็นซมซานไปจนถึงพุทธสำนัก เมื่ออยู่ต่อพระพักตร์พระพุทธองค์แล้ว เธอจึงได้สติ พลางกราบทูลถามว่า พระองค์สามารถจะเยียวยาลูกชายของเธอให้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาดังเดิมได้หรือไม่
ทรงทอดพระเนตรดูเธอผู้กรมเกรียมเพราะถูกไฟแห่งความพลัดพรากแผดเผามายาวนาน พลางแย้มพระสรวลด้วยเมตตา ตรัสแก่เธอว่า
“น้องหญิง เราสามารถชุบชีวิตลูกชายของเธอได้ แต่ว่า เธอต้องไปหาเมล็ดผักกาดจากเรือนที่ยังไม่เคยมีคนตายมาก่อนมาให้เราสักหนึ่งกำมือเถิด ถ้าได้เมล็ดผักกาดจากเรือนที่ยังไม่เคยมีคนตายมาแล้ว เราตถาคต จะปรุงยาชุบชีวิตลูกชายของเธอด้วยเมล็ดผักกาดนั้น”
หญิงสาวดีใจจนน้ำตาไหล เธอออกเดินทางจากพระอาราม มุ่งหน้าเข้าสู่หมู่บ้าน เพื่อขอเมล็ดผักกาดจากบ้านที่ยังไม่เคยมีคนตาย แต่จนแล้วจนรอด เธอกลับได้รับแต่คำตอบปฏิเสธ จากทุกหลังคาเรือนที่เธอเอ่ยปากถาม
เมล็ดผักกาดนั้น จะหาจากเรือนหลังไหนก็ได้ แต่พอเธอเสงอเงื่อนไขที่สองที่ว่า “จากบ้านที่ยังไม่เคยมีคนตาย” เมล็ดผักกาดก็กลายเป็นของหายากขึ้นมาทันที
คุณแม่ยังสาวผู้สูญเสียลูกชาย อุ้มศพลูกน้อยเดินขึ้นเดินลงจากเรือนหลังนั้นสู่หลังนี้ แต่ทุกหลังคาเรือนที่เธอไปเยือน ล้วนแต่มีคำตอบปฏิเสธ เรือนหลังไหนๆ บ้านหลังไหนๆ ก็ล้วนแล้วแต่เคยมีคนตายมาก่อนแล้วทั้งนั้น
ในที่สุด ทุกๆ คำตอบปฏิเสธ ก็ได้สอนบทเรียนบทหนึ่งให้แก่เธอว่า
“ความตายเป็นของธรรมดา ใช่แต่เพียงลูกชายของเราเท่านั้น ที่ต้องตาย แท้ที่จริง คนในโลก ล้วนแต่จะต้องตายเหมือนกันทั้งหมด โดยไม่มีข้อยกเว้น”
พลันที่จิตตื่นรู้อันเป็นผลจากประสบการณ์ตรงที่เกิดแต่การเที่ยวหาเมล็ดผักกาดจากบ้านที่ยังไม่เคยมีคนตาย เมฆหมอกแห่งความทุกข์ก็คลี่คลายหายห่างออกไปจากชีวิตของเธอ หญิงสาวยินยอมให้มีการเผาศพลูกชายโดยดุษฎี จากนี้จึงตรงไปเฝ้าพระพุทธองค์ กราบทูลรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ตรงให้ทรงทราบ
สิ้นเสียงกราบทูลรายงานความคืบหน้าในทางธรรมของเธอแล้ว พระบรมครูทรงแย้มพระสรวลน้อยๆ พระพักตร์เจือด้วยพระเมตตาเต็มเปี่ยม นาทีนั้น หญิงสาวเข้าใจทันทีว่า สำหรับพระองค์แล้ว ความทุกข์ ความสุข มีราคาเดียวกันจริงๆ
นับแต่นั้นเป็นต้นมา อดีตคุณแม่ผู้ถูกความพลัดพรากจู่โจมจนวิกลจริต จึงหันหน้าเข้าเส้นทางธรรม อุทิศตนบวชเป็นภิกษุณีในพระธรรมวินัย และกลายเป็นพระอรหันต์ภายในเวลาไม่นานนัก
คำของหลวงพ่อชาที่ว่า
“ทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด”
เป็นถ้อยคำสำคัญมาก คำๆ นี้ เปลี่ยนชีวิตคนมาแล้วมากต่อมาก มิน่าเล่า เมื่อแรกที่พระพุทธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนา จึงทรงเริ่มมรรคมีองค์ ๘ ด้วย “สัมมาทิฐิ”
“สัมมาทิฐิ” คือ การเห็นชอบ การเห็นถูก การเห็นตรง (ตามความเป็นจริง)
การเห็นชอบ = การเห็นถูก การเห็นถูก = การเห็นตรง การเห็นตรง = การเห็นไม่ผิด ที่ว่าเห็นไม่ผิด คือ เห็นสอดคล้องกับความจริงที่เป็นจริงของมันอย่างนั้นเอง
“ทุกชีวิตเกิดมาล้วนต้องตาย”
นี่เป็นความจริงอันเป็นสัจธรรมของโลก
หากคนส่วนใหญ่เห็นความตายตามความเป็นจริงอย่างตรงไปตรงมา ความทุกข์เพราะความตาย คงไม่ใช่ความทุกข์อันยิ่งใหญ่ หรือบางที อาจไม่เป็นความทุกข์เลยด้วยซ้ำ ปราชญ์ทางพุทธธรรมท่านหนึ่งกล่าวว่า
“มีแต่ความตาย ไม่มีผู้ตาย”
นี่เป็นความจริงที่ลึกซึ้งกว่าข้อความข้างต้นอีกชั้นหนึ่ง หากเราทุกคนมองเห็นความจริงตามความเป็นจริงเช่นนี้ได้ ความตายคงไม่ใช่เรื่องน่ากลัวแม้แต่น้อย แต่ก็นั่นแหละ การเห็นตามความเป็นจริง ไม่ใช่เรื่องง่าย และเพราะไม่ใช่เรื่องง่ายนั่นเอง ความตายจึงยังคงเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนทั่วไปอยู่จนทุกวันนี้
ทว่าสำหรับผู้ฝึกตนจนมีสัมมาปัญญาแล้ว ท่านเหล่านั้นล้วนปฏิสัมพันธ์ต่อความสุข ความทุกข์ด้วยราคาเดียวกัน
สุขก็ธรรมดา
ทุกข์ก็ธรรมดา
มีแต่ธรรมดาเท่านั้นเกิดขึ้น
มีแต่ธรรมดาเท่านั้นดำรงอยู่
มีแต่ธรรมดาเท่านั้นแตกดับไป
นอกจากธรรมดาแล้ว ไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรดับ
ใครเห็นธรรมดา คนนั้น เห็นธรรม ใครเห็นธรรม คนนั้นเห็นธรรมดา
ใจที่เห็นธรรมดา เป็นใจที่ไม่หวั่นไหวเพราะสุขและทุกข์อีกต่อไป เนื่องเพราะ สุขและทุกข์ ไม่ใช่สองด้านของเหรียญอันเดียวกัน แต่เป็นด้านเดียวกันมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ไปสร้างสมมุติซ้อนขึ้นมา ว่าสุขและทุกข์เป็นด้านทั้งสองของเหรียญแห่งชีวิตอันเดียวกัน.
"ความพอดีของชีวิต"
ความพอดีของชีวิตคนทุกคนมีความทะเยอทะยานเหมือนกันหมด...
หากต่างกันก็คงเพียงแค่...ใครจะมากใครจะน้อยกว่ากันเท่านั้น...
ความทะเยอทะยานที่ว่าน่าจะหมายถึง...
ความคิดที่อยากจะนำพาชีวิตไปสู่จุดที่สูงที่สุด...ดีที่สุด
ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็แล้วแต่
บางครั้งความทะเยอทะยานที่ว่า ก็กลายเป็นกิเลส
ที่ทำให้คนเราอยากได้อยากมี
เมื่อได้แล้ว เมื่อมีแล้ว ก็อยากได้ อยากมีอีก ไม่มีความพอดีในชีวิต
ไม่มีคำว่าดีที่สุด...อะไร ๆ ก็ไม่สมบูรณ์แบบสำหรับชีวิตเสียที...
แทนที่ความทะเยอทะยาน จะช่วยเป็นแรงขับให้ชีวิตเดินทางไปถึงเป้าหมาย..
เป็นยานพาหนะ ที่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จของชีวิต...
กลับกลายเป็นหอกที่คอยทิ่มแทง ชีวิตให้ทุกข์ทรมาน
ให้เจ็บปวด ให้ชีวิตต้องดิ้นรนอยู่ตลอดเวลา...
เพราะความอยากที่คอยจะทะยานอย่างไม่มีที่หยุด
ลองย้อนกลับไปมองต้นทุนของชีวิตคนเรา...
แท้จริงแล้วเราก็ตัวเปล่าเล่าเปลือยมาตั้งแต่เกิด
สิ่งที่ติดตัวมาก็เป็นเพียงวัตถุนอกกาย ที่สักวันก็ต้องสูญสลายหายไป
หรือตัวเราเองนั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายจากลาวัตถุเหล่านั้น
โดยไม่มีวันกลับมาชื่นชมมันอีก
หากเราไม่ยึดติดอยู่กับความสะดวกสบาย...
และไม่ยึดติดอยู่กับจำนวนเงินตราที่เราต้องหามาเพิ่มมากขึ้น ๆ ทุกวัน ...
จนทำให้เราหลงคิดว่า...สิ่งเหล่านี้จะบันดาลให้เราเป็นพระเจ้าไ ด้
ทำให้เราอยู่เหนือคนอื่นและทำให้เราเป็นผู้ยิ่งใหญ่...
เราจะค้นพบว่าจริง ๆ แล้วเราก็แค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
ที่มีความสุขในชีวิตได้ ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายได้...
ทานอาหารแต่ละมื้อ ได้อย่างอิ่มหนำสำราญ
มีเวลาได้ดูหนังดี ๆ มีโอกาสฟังเพลงเพราะ ๆ
มีห้วงเวลาที่ได้อยู่กับคนที่เรารัก ได้ทำอะไรดี ๆ แก่เขา
ได้สังสรรค์กับครอบครัว ทำให้คนในครอบครัวมีความสุข
และไม่ต้องใช้ชีวิตด้วยการวิ่ง วิ่งและก็วิ่งเร็วขึ้นไปเรื่อย ๆ
หากวันนี้เราต้องเหนื่อยกับการวิ่งอยู่ตลอดเวลา
ลองแวะพักเพื่อให้ตัวเองได้ชื่นชมสิ่งต่าง ๆ เสียบ้าง
เราจะได้มีเวลาเป็นของตัวเองมากขึ้น
ไม่ต้องกังวลและเป็นทุกข์เป็นร้อน
ที่จะต้องรีบไปให้ถึงปลายทาง..
ปล่อยใจเพลิดเพลิน ไปกับการหาความสุขของชีวิตจะดีกว่า
เมื่อเรามีความสุขแล้ว เราก็จะพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่
เมื่อเราพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ เราก็จะเห็นตัวตนของตัวเองได้ชัดเจนขึ้น...
มีความสนุกกับการใช้ชีวิตมากขึ้น
เมื่อนั้นเราก็จะได้ไม่ต้อง วิ่ง วิ่ง วิ่งให้เหนื่อยแรง
และทุกข์อก ทุกข์ใจเหมือนที่เคยเป็นมา...
"ความรักจะสมบูรณ์แบบได้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับคนสองคน
ชีวิตจะสมบูรณ์แบบได้...ก็ต้องอยู่ที่ความพอดีของการใช้ชีวิต.."
ว่ากันว่า..."
บางทีความสมบูรณ์แบบของชีวิต ก็ไม่ได้อยู่ที่ความเร็วของการเดินทาง
แต่อยู่ที่เราสนุกกับการเก็บเกี่ยวความสุข ระหว่างการเดินทางต่างหาก..."
ที่มา : ทำดีดอทคอม
หากต่างกันก็คงเพียงแค่...ใครจะมากใครจะน้อยกว่ากันเท่านั้น...
ความทะเยอทะยานที่ว่าน่าจะหมายถึง...
ความคิดที่อยากจะนำพาชีวิตไปสู่จุดที่สูงที่สุด...ดีที่สุด
ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็แล้วแต่
บางครั้งความทะเยอทะยานที่ว่า ก็กลายเป็นกิเลส
ที่ทำให้คนเราอยากได้อยากมี
เมื่อได้แล้ว เมื่อมีแล้ว ก็อยากได้ อยากมีอีก ไม่มีความพอดีในชีวิต
ไม่มีคำว่าดีที่สุด...อะไร ๆ ก็ไม่สมบูรณ์แบบสำหรับชีวิตเสียที...
แทนที่ความทะเยอทะยาน จะช่วยเป็นแรงขับให้ชีวิตเดินทางไปถึงเป้าหมาย..
เป็นยานพาหนะ ที่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จของชีวิต...
กลับกลายเป็นหอกที่คอยทิ่มแทง ชีวิตให้ทุกข์ทรมาน
ให้เจ็บปวด ให้ชีวิตต้องดิ้นรนอยู่ตลอดเวลา...
เพราะความอยากที่คอยจะทะยานอย่างไม่มีที่หยุด
ลองย้อนกลับไปมองต้นทุนของชีวิตคนเรา...
แท้จริงแล้วเราก็ตัวเปล่าเล่าเปลือยมาตั้งแต่เกิด
สิ่งที่ติดตัวมาก็เป็นเพียงวัตถุนอกกาย ที่สักวันก็ต้องสูญสลายหายไป
หรือตัวเราเองนั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายจากลาวัตถุเหล่านั้น
โดยไม่มีวันกลับมาชื่นชมมันอีก
หากเราไม่ยึดติดอยู่กับความสะดวกสบาย...
และไม่ยึดติดอยู่กับจำนวนเงินตราที่เราต้องหามาเพิ่มมากขึ้น ๆ ทุกวัน ...
จนทำให้เราหลงคิดว่า...สิ่งเหล่านี้จะบันดาลให้เราเป็นพระเจ้าไ ด้
ทำให้เราอยู่เหนือคนอื่นและทำให้เราเป็นผู้ยิ่งใหญ่...
เราจะค้นพบว่าจริง ๆ แล้วเราก็แค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
ที่มีความสุขในชีวิตได้ ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายได้...
ทานอาหารแต่ละมื้อ ได้อย่างอิ่มหนำสำราญ
มีเวลาได้ดูหนังดี ๆ มีโอกาสฟังเพลงเพราะ ๆ
มีห้วงเวลาที่ได้อยู่กับคนที่เรารัก ได้ทำอะไรดี ๆ แก่เขา
ได้สังสรรค์กับครอบครัว ทำให้คนในครอบครัวมีความสุข
และไม่ต้องใช้ชีวิตด้วยการวิ่ง วิ่งและก็วิ่งเร็วขึ้นไปเรื่อย ๆ
หากวันนี้เราต้องเหนื่อยกับการวิ่งอยู่ตลอดเวลา
ลองแวะพักเพื่อให้ตัวเองได้ชื่นชมสิ่งต่าง ๆ เสียบ้าง
เราจะได้มีเวลาเป็นของตัวเองมากขึ้น
ไม่ต้องกังวลและเป็นทุกข์เป็นร้อน
ที่จะต้องรีบไปให้ถึงปลายทาง..
ปล่อยใจเพลิดเพลิน ไปกับการหาความสุขของชีวิตจะดีกว่า
เมื่อเรามีความสุขแล้ว เราก็จะพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่
เมื่อเราพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ เราก็จะเห็นตัวตนของตัวเองได้ชัดเจนขึ้น...
มีความสนุกกับการใช้ชีวิตมากขึ้น
เมื่อนั้นเราก็จะได้ไม่ต้อง วิ่ง วิ่ง วิ่งให้เหนื่อยแรง
และทุกข์อก ทุกข์ใจเหมือนที่เคยเป็นมา...
"ความรักจะสมบูรณ์แบบได้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับคนสองคน
ชีวิตจะสมบูรณ์แบบได้...ก็ต้องอยู่ที่ความพอดีของการใช้ชีวิต.."
ว่ากันว่า..."
บางทีความสมบูรณ์แบบของชีวิต ก็ไม่ได้อยู่ที่ความเร็วของการเดินทาง
แต่อยู่ที่เราสนุกกับการเก็บเกี่ยวความสุข ระหว่างการเดินทางต่างหาก..."
ที่มา : ทำดีดอทคอม
วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
คุณธรรม จริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง กระบวนการต่างๆ และระบบงานที่ช่วยให้ได้สารสนเทศหรือข่าวสารที่ต้องการ โดยจะรวมถึง
1. เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ หมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องใช้สำนักงาน อุปกรณ์คมนาคมต่างๆ รวมทั้งซอฟต์แวร์ทั้งระบบสำเร็จรูปและพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะด้าน
2. กระบวนการในการนำอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ข้างต้นมาใช้งาน รวบรวมข้อมูล จัดเก็บประมวลผล และแสดงผลลัพธ์เป็นสารสนเทศในรูปแบบต่างๆ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ต่อไป
ในปัจจุบันการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกองค์กร การเชื่อมโยงสารสนเทศผ่านทางคอมพิวเตอร์ ทำให้สิ่งที่มีค่ามากที่สุดของระบบ คือ ข้อมูลและสารสนเทศ อาจถูกจารกรรม ถูกปรับเปลี่ยน ถูกเข้าถึงโดยเจ้าของไม่รู้ตัว ถูกปิดกั้นขัดขวางให้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ หรือถูกทำลายเสียหายไป ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ไม่ยากบนโลกของเครือข่าย โดยเฉพาะเมื่อยู่บนอินเทอร์เน็ต
ดังนั้นการมีคุณธรรม และจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีจึงเป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน มีรายละเอียดดังนี้
1.ไม่ควรให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ
2.ไม่บิดเบือนความถูกต้องของข้อมูล ให้ผู้รับคนต่อไปได้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง
3.ไม่ควรเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
4.ไม่ควรเปิดเผยข้อมูลกับผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาต
5.ไม่ทำลายข้อมูล
6.ไม่เข้าควบคุมระบบบางส่วน หรือทั้งหมดโดยไม่ได้รับอนุญาต
7.ไม่ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจว่าตัวเองเป็นอีกบุคคลหนึ่ง ตัวอย่างเช่น การปลอมอีเมล์ของผู้ส่งเพื่อให้ผู้รับเข้าใจผิด เพื่อการเข้าใจผิด หรือ ต้องการล้วงความลับ
8.การขัดขวางการให้บริการของเซิร์ฟเวอร์ โดยการทำให้มีการใช้ทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์จนหมด หรือถึงขีดจำกัดของมัน ตัวอย่างเช่น เว็บเซิร์ฟเวอร์ หรือ อีเมล์เซิร์ฟเวอร์ การโจมตีจะทำโดยการเปิดการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์จนถึงขีดจำกัดของเซิร์ฟเวอร์ ทำให้ผู้ใช้คนอื่นๆไม่สามารถเข้ามาใช้บริการได้
9.ไม่ปล่อย หรือ สร้างโปรแกรมประสงค์ร้าย (Malicious Program) ซึ่งเรียกย่อๆว่า (Malware) เป็นโปรแกรมที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำการ ก่อกวน ทำลาย หรือทำความเสียหายระบบคอมพิวเตอร์เครือข่าย โปรแกรมประสงค์ร้ายที่แพร่หลายในปัจจุบันคือ ไวรัส เวิร์ม และม้าโทรจัน
10.ไม่ก่อความรำคาญให้กับผู้อื่น โดยวิธีการต่างๆ เช่น สแปม (Spam) (การส่งอีเมลไปยังผู้ใช้จำนวนมาก โดยมีจุดประสงค์เพื่อการโฆษณา)
11.ไม่ผลิตหรือใช้สปายแวร์ (Spyware) โดยสปายแวร์จะใช้ช่องทางการเชื่อมต่อทางอินเตอร์เน็ตเพื่อแอบส่งข้อมูลส่วนตัวของผู้นั้นไปให้กับบุคคลหรือองค์กรหนึ่งโดยที่ผู้ใช้ไม่ทราบ
12.ไม่สร้างหรือใช้ไวรัส
1. เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ หมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องใช้สำนักงาน อุปกรณ์คมนาคมต่างๆ รวมทั้งซอฟต์แวร์ทั้งระบบสำเร็จรูปและพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะด้าน
2. กระบวนการในการนำอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ข้างต้นมาใช้งาน รวบรวมข้อมูล จัดเก็บประมวลผล และแสดงผลลัพธ์เป็นสารสนเทศในรูปแบบต่างๆ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ต่อไป
ในปัจจุบันการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกองค์กร การเชื่อมโยงสารสนเทศผ่านทางคอมพิวเตอร์ ทำให้สิ่งที่มีค่ามากที่สุดของระบบ คือ ข้อมูลและสารสนเทศ อาจถูกจารกรรม ถูกปรับเปลี่ยน ถูกเข้าถึงโดยเจ้าของไม่รู้ตัว ถูกปิดกั้นขัดขวางให้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ หรือถูกทำลายเสียหายไป ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ไม่ยากบนโลกของเครือข่าย โดยเฉพาะเมื่อยู่บนอินเทอร์เน็ต
ดังนั้นการมีคุณธรรม และจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีจึงเป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน มีรายละเอียดดังนี้
1.ไม่ควรให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ
2.ไม่บิดเบือนความถูกต้องของข้อมูล ให้ผู้รับคนต่อไปได้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง
3.ไม่ควรเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
4.ไม่ควรเปิดเผยข้อมูลกับผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาต
5.ไม่ทำลายข้อมูล
6.ไม่เข้าควบคุมระบบบางส่วน หรือทั้งหมดโดยไม่ได้รับอนุญาต
7.ไม่ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจว่าตัวเองเป็นอีกบุคคลหนึ่ง ตัวอย่างเช่น การปลอมอีเมล์ของผู้ส่งเพื่อให้ผู้รับเข้าใจผิด เพื่อการเข้าใจผิด หรือ ต้องการล้วงความลับ
8.การขัดขวางการให้บริการของเซิร์ฟเวอร์ โดยการทำให้มีการใช้ทรัพยากรของเซิร์ฟเวอร์จนหมด หรือถึงขีดจำกัดของมัน ตัวอย่างเช่น เว็บเซิร์ฟเวอร์ หรือ อีเมล์เซิร์ฟเวอร์ การโจมตีจะทำโดยการเปิดการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์จนถึงขีดจำกัดของเซิร์ฟเวอร์ ทำให้ผู้ใช้คนอื่นๆไม่สามารถเข้ามาใช้บริการได้
9.ไม่ปล่อย หรือ สร้างโปรแกรมประสงค์ร้าย (Malicious Program) ซึ่งเรียกย่อๆว่า (Malware) เป็นโปรแกรมที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำการ ก่อกวน ทำลาย หรือทำความเสียหายระบบคอมพิวเตอร์เครือข่าย โปรแกรมประสงค์ร้ายที่แพร่หลายในปัจจุบันคือ ไวรัส เวิร์ม และม้าโทรจัน
10.ไม่ก่อความรำคาญให้กับผู้อื่น โดยวิธีการต่างๆ เช่น สแปม (Spam) (การส่งอีเมลไปยังผู้ใช้จำนวนมาก โดยมีจุดประสงค์เพื่อการโฆษณา)
11.ไม่ผลิตหรือใช้สปายแวร์ (Spyware) โดยสปายแวร์จะใช้ช่องทางการเชื่อมต่อทางอินเตอร์เน็ตเพื่อแอบส่งข้อมูลส่วนตัวของผู้นั้นไปให้กับบุคคลหรือองค์กรหนึ่งโดยที่ผู้ใช้ไม่ทราบ
12.ไม่สร้างหรือใช้ไวรัส
วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
[movie] Felon - คนคุกเดือด

เวด พอร์เตอร์ (สตีเฟ่น ดอร์ฟ) คือหัวหน้าครอบครัวที่ดีและมีอนาคตที่สดใส แต่ทุกสิ่งพังไปในพริบตาเมื่อเขาพลั้งมือฆ่าคนร้ายที่บุกเข้ามาปล้นบ้านของเขา ด้วยข้อหาฆ่าคนโดยไม่มีการไตร่ตรอง เวดถูกจำคุก 3 ปีในเรือนจำที่เข้มงวดที่สุดและกฏหมายภายนอกกลายเป็นเศษกระดาษสำหรับโลกใบนี้ เมื่อจำต้องอยู่ร่วมห้องขังกับฆาตกรอำมหิต (วัล คิลเมอร์) และเป็นที่หมายหัวของหัวหน้าผู้คุมจอมโหด (แฮโรลด์ พาร์รินิว) เวดเรียนรู้ว่าเขาต้องต่อสู้เพื่อตัวเองและต้องเป็นนักโทษที่อันตรายที่สุดถ้าหากเขายังอยากมีชีวิตรอดออกมา...อะไรก็ตามที่ล้มคุณไม่ได้ มีแต่จะทำให้คุณแกร่ง และในคุกนรกเช่นนี้ คนที่แกร่งที่สุดคือผู้รอด ...
...ที่เอาหนังเรื่องนี้ มาลงไว้ ก็เพราะว่า เรื่องนี้ ตอนแรกที่ดูเปนหนังที่เครียดมาก นั่งลุ้นไปตลอดเรื่องเลย ซึ่ง คอร์ฟ ก็เล่นออกมาดี จนทำให้เราอินตามหนังไปเลยทีเดียว สิ่งที่ได้จากเรื่องนี้มีเยอะแยะเลยนะ อย่างข้อคิดที่ว่า "อาจไม่สวยหรู แต่มันสัจธรรม" อันนี้ มันก็จริงนะ ชีวิตเราเลือกไม่ได้นี่เนอะว่า อยู่ๆจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา แต่ไงๆ มันก็เกิดขึ้นมาแล้ว ถึงมันจะไม่เป็นไปตามใจเรากำหนดไว้ แต่มันก็คือความจริง ที่เราจะต้องฝ่าฟันผ่านไปให้ได้ ^^ ลองหาเรื่องนี้ดู สุดยอดจริงๆ ... ><"
วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2552
ความประทับใจ ณ นิทรรศการวิชาการ มหิดลวิทย์ฯ
ความรู้ที่ได้ครั้งนี้ มีเยอะแยะมากมายทีเดียว แบ่งเป็นหมวดๆหลายวิชาอยู่เหมือนกัน ที่ที่แรกที่ผมได้ไปดูมา ก้คือที่ห้องชมภาพยนต์สามมิตินั่นเอง ที่นั่นได้เปิดเป็นรอบๆ รอบของผมที่เข้าไปดู มีอยู่สามเรื่อง โดยรวมแล้ว ก้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ การกำเนิดโลก หลุมดำ หรือจำพวก วัตถุที่อยู่ในอวกาศ ซึ่งนำเสอนออกมาได้ดีทีเดียว การเข้าไปดูก็มีค่าเข้าชมเล็กน้อย พอเข้าไปก็จะมีแว่นสามมิติเหมือนกับที่ใส่ตอนดูหนังสามมิติเลย ดูๆไป เพลินดี แต่ก้ง่วงๆ อยู่เหมือนกัน เพื่อนของผมบางคน ยังหลับในห้องแสดงภาพยนต์นั่นเลย พอออกมาจากห้องนี้ แล้ว ต่างคนก็ต่างแยกย้าย ไปตามมุมที่ชอบของตน แต่ส่วนใหญ่ เพื่อนๆ ก็จะเดินเกาะกลุ่มกันไป ที่ที่สองที่เราได้เห็นก็คือ ที่แสดงของวิชาหุ่นยนต์ อันนี้ผมประทับใจมากที่สุดในการไปครั้งนี้ ก็เนื่องจาก ที่โรงเรียนผมก็เคยเล่นพวกหุ่นยนต์จำพวกนี้อยู่ ทำสนามบ้าง เคยออกไปแข่งเล็กน้อย จึงทำให้ผมสนใจบริเวณนี้เป็นพิเศษ ที่โรงเรียนของผมนั้น ใช้ เซ็นเซอร์แสง จับเส้นสีดำ เมื่อเจอเส้นสีดำแล้ว ก็สั่งให้เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา แต่ที่มหิดลนั่น ใช้ ยิงเลเซอร์ลงไปแล้วจับเอา แสงที่สะท้อน กลับมา ซึ่งถ้าเป็นสีดำ ที่มีสมบัติดูดแสงก็จะทำให้แสงสะท้อนกลับมากน้อย การตั้งค่าเช่นนี้ ทำให้หุ่นยนต์วิ่งตามเส้นได้เนียนขึ้น หรือจะเรียกว่า หุ่นยนต์แทบจะไม่กระตุกเลย พอได้ดูเรื่องนี้แล้ว ผมกับเพื่อนๆก็ได้เดินต่อไปที่ ห้องคณิตศาสตร์ ซึ่งรวมสิ่งที่ใช้ฝึกสมองเช่น ตึกถล่ม รูบิค ตัวต่อรูปต่างๆ แล้วก็อะไรอีกมากมาย ซึ่งมันทำให้ผมและเพื่อนๆ หลงอยู่ในห้องนั้น เป็นชั่วโมงเลยทีเดียว พอออกจากห้องมา แต่ละคนเครียดกานไปหมด เพราะว่าแก้ปริศนาไม่ออกนั่นเอง หลังจากนี้ต่างคนก็ต่างหิว จึงลงมติ กันว่า ไปห้องสมุดอีกที่หนึ่ง แล้วค่อยไปกินข้าว ห้องสมุดที่นี่ ก็มีอะไรเยอะแยะ แต่ไม่ดึงดูดพวกผมเท่ากับแพนด้ากังฟูที่เขากำลังฉายอยู่ในห้องสมุด ทั้งหมด จึงมารวมกันอยู่หน้าทีวี แล้วก็นั่งดูไปสักพักหนึ่ง จึงออกจากที่นั่น เพื่อไปรับประทานอาหาร อาหารที่นี่ก็อร่อยดี (อร่อยกว่าโรงเรียนเราเสียอีก ว่างั้นก็ได้น่ะ)จากนั้นก็เดินทางกลับโรงเรียน .. .
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Trailer หนังดีๆ
[MV] I need some body
ทำกันเล่นๆ ฮาๆ ^___________________^
[T]aekwondo~
เทควันโด คือ ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว โดยไม่ใช้อาวุธของ ชาวเกาหลี
คำว่า เท (태) แปลว่า เท้า หรือการโจมตีด้วยเท้า
คำว่า ควัน (권) แปลว่า มือ หรือการโจมตีด้วยมือ
คำว่า โด (도) แปลว่า วิถี
ดังนั้นเทควันโดโดยทั่วไป หมายถึง วิถีแห่งการใช้มือและเท้าในการต่อสู้และป้องกันตัว